31 มี.ค. 2554

ขายเฉาก๊วย

เฉาก๊วยทำมาจากหญ้าเฉาก๊วยแห้ง มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ดับกระหาย กินหน้าร้อนช่วยผ่อนคลายเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของจีน ที่ใช้กันมานาน

หน้าร้อนนี้ เมืองไทยร้อนอบอ้าว น่าจะทำเฉาก๊วยขาย รับรองขายดิบขายดีแน่ๆครับ การทำเฉาก๊วยสูตรโบราณ ใช้เนึ้อ เฉาก๊วยราดน้ำตาลทรายแดงผสมน้ำตาลอ้อยเล็กน้อย
(ไม่ใช่น้ำเชื่อม) และน้ำแข็งไม่ต้องมาก รับรองอร่อยไม่เหมือนใคร ตักขายกันเป้นถ้วยๆ 10-15 บาท สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำช่วงหน้าร้อนนี้

วิธีทำเฉาก๊วย
ส่วนผสมเฉาก๊วย
1.หญ้าเฉาก๊วย 0.5 กิโลกรัม ขั้นตอนแรก ให้เอาหญ้าเฉาก๊วยมาเลือก สิ่งแปลกปลอมออกก่อน แล้วตำให้แหลกแล้วผสมน้ำเล็กน้อยพอท่วม นำไปใส่หม้อตั้งไฟพอเดือด
จากนั้นผสมโซดาแอชหรือแป้งแป๊ะกี่ ครึ่งช้อนโต๊ะ นำไปต้มนาน 3-4 ชั่วโมง หมั่นคอยช้อนฟองออกเป็นระยะๆ
2.ปิดไฟ รอให้หายร้อน แล้วนำมากรองผ่านผ้าขาวบาง เติมนำเข้าไปนิดหน่อย คั้นน้ำออกแยกกากออกให้หมดเอาหน้าออกด้วยผ้าขาวบาง แล้วช้อนเอาฟองออกให้หมด
3.นำไปตั้งไฟ พอร้อนเติมแป้งเท้ายายม่อม 1 ถ้วยตวง กวนเร็วๆให้เข้ากัน หากคนช้าแป้งจะจับตัวเป็นก้อน ตั้งไฟประมาณ 20-30 นาที รอให้เดือดครั้งที่ 2 ช้อนฟองออกปิดไฟ
4.ใส่ภาชนะ ทิ้งไว้ให้เย็นจะแข็งตัว รอนำมาตัดแบ่งขาย ต่อไป เฉาก๊วย สามารถแช่เย็นเก็บไว้ได้นาน

** เคล็ดลับเฉาก๊วยจะนิ่มและหอมอร่อย เวลาใส่น้ำตอนแรก ให้ใส่น้ำน้อยๆจะทำให้ หอมเฉาก๊วยและไม่แข็งกระด้าง

หญ้าเฉาก๊วย หาซื้อได้ตามย่านตลาดมหานาค ย่านถนนเยาวราช หรือร้านขายยาจีน แป้งเท้ายายม่อม มีขายตามท้น
ขายชองชำทั่วไป โซดาแอชหรือแป้งแป๊ะกี่ มีขายตามร้านวัสดุอุปกรณ์เคมี หรือร้านขายสินค้าและวัตถุดิบในการทำเบเกอรี่ สำหรับส่วน
ประกอบอื่น ๆ เช่น น้ำตาลหรือใบเตย มีขายในตลาด ทั่วไป

**หมายเหตุ

- สำหรับมือใหม่ ควรลองทำก่อน ชิมรสชาติให้เข้าที่ ซึ่งอาจจะให้พรรคพวกเพื่อนฝูง ญาติพืน้องช่วยกันชิมช่วยกันติ แล้วนำมาปรับปรุง ก่อนทำจำหน่ายอย่างจริงจัง และอีกวิธีหนึ่งที่จะพัฒนาเฉาก๊วยให้ดียิ่งขึ้นคือเปรียบเทียบรสชาติเฉาก๊วยจากแหล่งต่าง ๆ
และพยายามพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

**จุดเด่นของเฉาก๊วยสูตรโบราณ ใช้เนึ้อเฉาก๊วยราดน้ำตาลทรายแด้ใผสมน้ำตาลอ้อย(ไม่ใช่น้ำเชื่อม) และน้ำแข็งใส่เพียงนิดหน่อย หอมอร่อย ไม่หวานมาก

อาชีพขายเฉาก๊วย เริ่มต้นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ อาจจะกลายเป็นธุรกิจที่มีอนาคตไกล สำหรับใครที่กำลังมองหางานค้าขาย ถ้าไม่มีเงินลงทุนมากมายก็ให้เริ่มจากเล็กๆไปก่อน

18 มี.ค. 2554

ทำขนมไทยขาย

ทำขนมไทยขาย
ขนมไทย เป็นอาหารที่เราคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นขนมที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ขนมไทยประกอบไปด้วย วัตถุดิบที่หาได้ในแต่ล่ะท้องถิ่น เช่น แป้ง ถั่ว งา น้ำตาล กะทิ
วันนี้ขนมไทยสามารถนำมาประกอบเป็นธุรกิจระดับแฟรนไชส์ หรือโกอินเตอร์กันแล้ว หากคิดจะหารายได้จากฝีมือการทำขนมไทยขาย ก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อย ขอให้ตั้งใจทำให้อร่อยรับรอง มีลูกค้าอย่างแน่นอน

ทำขนมไทยขาย


ข้าวต้มผัด (ข้าวต้มมัด)
ข้าวต้มผัด หรือข้าวต้มมัด เรียกได้เหมือนกัน ทั้งนีอาจจะเป็นลักษณะของขึ้นชนิดนี้ที่มีการมัด 2 เปลาะ จึง
เรียกว่า ข้าวต้มมัด หรือลักษณะการนำข้าวเหนียวไปผัดกับกะทิและน้ำตาลก่อนจึงเรียกว่าข้าวต้มผัด
ขนมไทยชนิดนี้ มีมาแต่โบร่ำโบราณ เป็นขนมที่ออกจะไม่ค่อยเหมือนขนมอึ่น ๆ สักเท่าไหร่ เพราะกินแล้วหนักท้องกินแล้วอิ่ม เหมือนกินข้าว คนสมัยก่อนที่ต้องเดินทางไกล มักจะนำขนมนี้ ไปกินระหว่างทาง

ข้าวต้มมัด ยังมีคนทำขายกัน หากินได้ไม่ยาก ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน ไม่ได้เป็นขนมโบราณที่กำลัง
จะเลือนหายอะไรอย่างนั้น แต่หาที่อร่อย ๆ ออกจะยากสักหน่อย ฉะนั้น เรามาทำกินเองดีกว่า เผลอ ๆ ออก
ขายได้เงินอีก

ข้าวต้มมัด
ส่วนผสม
1. ข้าวเหนียว 5 กิโลกรัม
2. กะทิ (จากมะพร้าว 5-6 ลูก)
3. น้ำตาลทราย 800 กรัม
4. กล้วยน้ำว้าสุก ๆ (สุกมาแล้วสัก 2 คืน)
5. เกลือป่น
6. ใบตอง
7.ถั่วดำ
8.ตอกไม้ไผ่ ใช้มัดข้าวต้ม

วิธีการทำ
1.นำข้าวเหนียวมาล้างให้สะอาด ช่วงที่ล้างนี้มีข้อสังเกตนิดหนึ่งคือ ข้าวเหนียวที่ตักออกมาใหม่ ๆ ใส่
กะละมัง ให้น้ำให้พอดี น่ถืงกับท่วม ปริมาณน้ำขนาดนี้ให้จำไว้ เพราะช่วงที่เตรียมกะทิสำหรับผัด ใช้กะทิ
ในปริมาณนี้เช่นกัน เมื่อล้างจนสะอาดแล้ว (สัก 2-3 ครั้ง) แช่ไว้สัก ประมาณ 10 นาที ราวขึ้นมาพักไว้ในกะละมัง
2.เคี่ยวกะทิจนเดือด ใส่ข้าวเหนียวลงไปผัด จัดจนแห้ง (อย่าใช้ไฟแรง) แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปผัดต่อ ผัดจนน้ำตาลรัดเม็ดข้าวดีแล้ว โรยเกลือนิดหน่อย ยกลงพักไว้
3.การห่อข้าวต้มมัด ตักข้าวเหนียววางบนใบตอง ตามด้วยกล้วยน้ำว้าผ่าซีก (ถ้าลูกใหญ่ ผ่า 3ซีก ลูกเล็กผ่า 2 ซีก) ตามด้วยข้าวเหนียวทับไปอีกชั้นหนึ่ง จาก
นั้นจะประดับด้วยถั่วดำอีกก็ได้ แต่ต้องนำไปต้มมาก่อนแล้วจึงห่อ มัดด้วยตอก
4.นำไปเรียงในลังถึง ใช้เวลานึ่งชั่วโมงเศษ ๆ ก่อนยกลง นำมาแกะดูสักมัดหนึ่้ใก่อนว่าข้าวเหนียวสุกดีหรือไม่

ข้าวเิีหนียวเปียกกะทิ
ข้าวเิีหนียวดำเปียกกะทิข้าวเหนียวดาเปียกกะทิ เป็นขนมชนิดหนึ่งที่ทำง่ายมาก ชวนจะอร่อยหรือไม่นั้น อยู่ที่ฝีมือของคนปรุงแล้วล่ะ ขนมชนิดนี้ควรระวังให้มากเรื่องความหวานเพราะหากหวานมากเกินไป บางคนไม่ชอบ

ส่วนผสม
ข้าวเหนียว 500 กรัม
น้ำตาลทราย 500 กรัม
กะทิสด 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น

ขั้นตอนการทำ
นำข้าวเหนียวดำมาต้มพอสุกแล้วใส่น้ำตาลทรายพอประมาณ อย่าใส่น้ำตาลทรายก่อน
เพราะน้ำตาลจะรัดข้าวเหนียว ทำให้ไม่สุกส่วนกะทิ นำมาเคี่ยว (ไม่ต้องนาน) และเติมเกลือ
นิดหน่อย ก็ใช้ได้

ข้าวเหนียวเปียกมะพร้าวอ่อน
ส่วนผสม
ข้าวเหนียว 500 กรัม
มะพร้าวอ่อน
น้ำตาลทราย 500 กรัม
กะทิสด 2 ถ้วยตวง
เกลือ

**อาจดัดแปลงเป็นลำไยหรึอสาคูได้ ถ้าเป็นสาคูต้องต้มให้สุกก่อน
ขั้นตอนการทำล้างข้าวเหนียวให้สะอาด นำมาต้ม (ลักษณะการทำเหมือนทำข้าวต้มธรรมดา) เมื่อเมล็ืดข้าวพองตัวแล้ว
ใส่น้ำตาลทราย ตามด้วยกะทิสด และมะพร้าวอ่อนเวลาเสิร์ฟให้หยอดหน้าด้วยกะทิข้น ซึ่งมีวิธีการทำคือ คั้น
เอาแต่หัวกะทิ ผสมด้วยเกลือ หากต้องการให้กะทิอยู่ได้นานขึ้น ให้นำไปตั้งไฟเคี่ยว โดยใส่แป้งมันละลาย
น้ำลงไปนิดหน่อย จะทำให้กะทิข้น และน่ากินมากขึ้น(การเคี่ยวกะทินี้ไม่ต้องนานมาก แค่พอกะทิเดือดและ
ข้นดีแล้วให้ยกลง)

มะพร้าวแก้ว
มะพร้าวแก้ว เป็นขนมหวานพื้นบ้าน วัตถุดิบในการทำมีเพียง มะพร้าวและน้ำตาล 2 อย่างเท่านั้นมะพร้าวแก้วมีวิธีการทำที่ไม่ยากเลย เพียงแต่หามะพร้าวทึนทึก (มะพร้าวกลางแก่กลางอ่อน)มาขูดให้เป็นเส้นยาว ลงไปเชื่อมในน้ำเชื่อมน้ำเชื่อม ที่มีส่วนผสมของ น้ำต่อน้ำตาล 1:2เคี่ยวจนขึ้นดีแล้ว จึงใส่มะพร้าวลงไป คอยให้น้ำตาลเข้าในเนื้อมะพร้าวจนขึ้นเกล็ดนั่นแหละจึงใช้ได้ จากนั้นนำขึ้นมานำซึ่งให้แห้งดี แล้วเก็บเข้าขวดโหลที่มีฝาปิดสนิท จะเก็บได้หลายวัน

ขนมตาล
ขนมหวานในคราวนี้ออกจะยุ่งยากสักหน่อย แต่หากได้ชิมขนมที่สำเร็จเสด็จออกมาจากเตาแล้ว รับรองหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทีเดียว


ส่วนผสม
ผลตาลสุก2-3 ผล
น้ำตาลทราย 6 ถ้วยตวง
กะทิ 6 ถ้วยตวง
แป้ง 6 ถ้วยตวง
มะพร้าวขูดพอประมาณ

วิธีการทำ
1.นำลูกตาลมาลอกเปลือกออกแล้วยีเอาแต่เนื้อ ใส่ถุงแป้งแขวนไว้ 12 ชั่วโมง เพื่อให้สะเด็ดน้ำ
เหลือแต่เนื้อล้วน ๆ ก่อนคิดจะทำขนมนี้ขายต้องเตรียมการล่วงหน้า 1 วัน
2.นำน้ำตาลไปเกี่ยวกับกะทิจนน้ำตาลละลา็ยระหว่างที่เกี่ยวอย่าใช้ไฟแรง

3.เมื่อได้ส่วนผสมน้ำมาแล้ว นำมาผสมกับเนื้อตาล 2 ถ้วยตวง และนวดกับแป้งจนได้ที่ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปตั้งทิ้งไว้กลางแดด 12 ชั่วโมง เพื่อให้เนื้อขนมขึ้นฟู ขั้นตอนนี้ หากต้องการตั้งทิ้งไว้ตอนกลางคืนจะใช้ผงฟูช่วยด้วยก็ได้ ก่อนนำไปนึ่ง ให้โรยหน้าด้วยมะพร้าวขูดผสมเกลือเล็กน้อย ขนมตาลใช้เวลาในการนิ่งนาน 15 นาที จับเวลานับแต่น้ำเดือด

ขนมกล้วย
ส่วนผสม
1.กล้วยน้ำว้า 1 หวี (10-11ผล)เลือกกล้วยที่ค่อนข้างงอมแต่ไม่ถึงกับงอมจนเละ
2. แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม
3. แป้งมันสำปะหลัง 400 กรัม
4. น้ำตาลทราย 600 กรัม
5. มะพร้าวห้าว 500 กรัม
6. กะทิ 1 ถ้วยตวง
7. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.นำกล้วยกับแป้งข้าวเจ้ามานวดจนเหนียว ใส่น้ำตาลทราย ใส่น้ำนิดหน่อยพอให้ตักได้ข้นๆ
2.จากนั้นจึงใส่กะทิ มะพร้าว คนให้เข้ากัน หากไม่มีมะพร้าวห้าวใช้มะพร้าวขูดใส่แทนได้ มะพร้าวห้าวที่ใช้หั่นเป็นชิ้น ๆ ไม่ต้องหนามาก
3.ตักใส่ใบตองแล้วห่อ จะห่อแบบสี่เหลี่ยม หรือใส่เป็นกระทงก็ได้แล้วนำไปนึ่งนาน 40 นาที

หรืออาจจะนำไปทอดแทนก็อร่อยไม่แพ้กัน หรือจะแบ่งทั้งนึ่ง ทั้งทอด ก็ได้ขนมอร่อย ไปอีกแบบ

กล้วยบวชชี
กล้วยบวชชีเป็นขนมพื้นบ้าน ทำง่ายที่สุด อร่อยที่สุดและราคาถูก

ส่วนผสมกล้วยบวชชี
กล้วยน้ำว้า
กะทิ
น้ำตาลทราย
เกลึอป่น


วิธีทำ
กะทที่คั้นได้ แยกไว้ เป็นหัวกะทิกับหางหางกะทิใส่หม้อ เคี่ยวสักพักใส่กล้วยใส่น้ำตาล
ทราย เกลือ ก็ใช้ได้แล้ว แต่ระวังอย่าใส่น้ำตาลมากจะหวานเกินไป กล้วยบวชชีที่อร่อยน่าจะออกรสหวาน
ปะแล่ม ๆ เค็มนิดหน่อย และมันพอควรในการทำกล้วยบวชชีนั้น ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็น
ช่วงเคื่ยวกะทิ อย่าให้กะทิแตกมันเด็ดขาด มิฉะนั้นจะมันมาก และกล้วยที่ใช้ในการทำขนมนี้ คือกล้วยน้ำว้าที่
ห่าม ๆ หน่อย อย่าใช้กล้วยสุกเกินไป จะไม่อร่อย

ขนมดอกจอก
ส่วนผสม
แป้งสาลี 4 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
เกลือ 3 ช้อนชา
งาดำ 1/2 ถ้วยตวง
แป้งมัน 2 ช้อนตวง
ไข่แดง 2 ฟอง
มะพร้าว 200 กรัม
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีการทำ
นำแป้งทั้งหมดมาผสมกัน ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือ งาดำ ไข่แดง มะพร้าว หัวกะทิ และน้ำปูนใส คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดีจากนั้นนำลงทอดในกระทะโดยใช้พิมพ์ พิมพ์สำหรับขนมดอกจอกโดยเฉพาะ จุ่มพิมพ์ลงในแป้ง อย่าจุ่มพิมพ์ให้มิดแป้ง จากนั้นนำลงในน้ำมัน ยกพิมพ์ขึ้น ขนมผุดไปเอง คอยกลับขนม 1 ครั้ง พอเหลืองแล้วตักขึ้น วางบนกระดาษสับมัน

ทับทิมกรอบ
ทับทิมกรอบ ขนมชนิดนี้ จะมีสีสันสวยงามนาม และอร่อย หวานเย้นชื่นใจ เหมาาะจะกินหน้าร้อน

ส่วนผสมของทับทิมกรอบ
แห้ว หรือมันแกว 1/2 กิโลกรัม
แป้งมัน 1 ถุง
น้ำตาลทราย 3/4 กิโลกรัม (ต้องกาพวาพากหรือน้อยเพื่อลดจำนวนได้)
น้ำสะอาด
กะทิสด (หัวกะทิ)
ขนุน

วิธีการทำ
1.ขั้นแรก หั่นมันแกว หรือแห้ว เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ จากนั้นใส่น้ำหวานสีแดง เพื่อให้ดูเป็นเมล็ดทับ
ทิมมากขึ้น และน่ากินกว่าสีขาวล้วน จากนั้นนำไปคลุกด้วยแปังมัน แล้วพักไว้
2.ต้มน้ำให้เดือด ใส่มันแกว หรือแห้วลงไป พอสุกจะลอยขึ้นมาเอง ตักใส่ภาชนะไว้
ส่วนน้ำเชื่อม ให้ต้มน้ำใส่น้ำตาลทราย หวานมากน้อยตามต้องการ เมื่อยเดือด ยกลงพักไว้จนเย็น
3.ฉีกขนุนชิ้นตามยาวใส่ลงไป ส่วนผสมสุดท้ายคือ กะทิ ให้นั้นเอาแต่หัวกะทิไว้หยอดหน้าทับทิมกรอบ จะทำให้ขนมหวานมัน เสิร์ฟ ใส่ถ้วยเล็กพร้อมน้ำแข็งบดละเอียด

8 มี.ค. 2554

ขายกระเพาะปลา

ขายกระเพาะปลา


กระเพาะปลา เป็นอาหาร ที่มีคนนิยมกินกันมาก ถ้าอยากขายอาจจะลงทุนมากนิดหน่อย แต่ก็กำไรมากเช่นกัน ถ้าสนใจอยากจะขายกระเพาะปลาก็ได้ มีวิธีทำไม่ยุ่งยาก มีสูตรการทำกระเพาะปลาอร่อยๆ มาฝากให้ลองทำดูด้วยครับ จะลองขายที่ตลาดหรือขายในแหล่งชุมชนก็ได้ หรือจะทำขายหน้าบ้านตัวเองก็ได้ ช่วยเพิ่มรายได้ให้อีกทาง ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานก็ได้




วิธีทำกระเพาะปลา
ส่วนผสม
-กระเพาะปลา 1/2 กิโลกรัม
-อกไก่ 1/2 กิโลกรัม
-เลือดหมู 15 ก้อน
-โครงไก่ 3 โครง
-หน่อไม้ไผ่ดงต้มสุก 1 หน่อ
-เห็ดหอมแห้ง 25 ดอก
-แปังมัน หรือแป้งข้าวโพด ละลายน้ำ 1 ถ้วย
-ต้นหอม ผักชีหั่นหยาบ พอประมาณ
-พริกไทย ซีอิ๊วขาว
-กระเทียม 1 1/2 หัว และพริกดองน้ำส้ม
-ไข่นกกระทาต้มสุก
วิธีทำกระเพาะปลา
1.ให้นำกระเพาะปลา ไปลวกน้ำร้อนก่อน แล้วล้างน้ำเย็นหลายๆ ครั้ง (อย่าลืมบีบน้ำให้แห้ง)
ขายกระเพาะปลา2.นำเอา กระเทียม พริกไทย มาโขลกรวมกันให้ละเอียด
3.นำ เห็ดหอมแห้งไปย่างไฟให้หอมก่อนจากนั้นก็นำไปแช่น้ำให้พองตัว หั่นให้เป็นชิ้นบาง ๆ (น้ำที่แช่เห็ดหอมอย่าทิ้ง)
4. อกไก่ โครงไก่ ให้นำไปลวกน้ำร้อน1 ครั้งเพื่อไม่ให้คาว เมื่อลวกเสร็จแล้ว ก็นำไปล้างน้ำอีกครั้ง
5.ต่อจากนั้นให้นำน้ำที่แช่เห็ดหอม เทลงในหม้อ แล้วยกขึ้น ตั้งไฟให้เดือด และนำโครงไก่ อกไก่ ลงต้ม ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดแล้ว ก็ให้ตักเครื่องทั้งหมดออก นำอกไก่มาฉีกเส้นฝอยๆ
6. เมื่อได้น้ำซุปแล้ว ให้ใส่ กระเทียม พริกไทย ที่โขลก เตรียมไว้ลงไป ต้มต่อสักครู่ใ ห้ได้กลิ่นหอม ใส่กระเพาะปลาเห็ดหอม เนื้อไก่ หน่อไม้ต้มสุก เลือดหมูซีอิ๊วขาว แป้งมันลงไป และใช้ไฟอ่อนๆ ค่อยๆ เคี่ยวไปเรื่อยๆ คนทุกอย่างให้เข้า กัน ชิมรสชาติกลมกล่อม แล้วเตรียมขายได้เลย
7.เวลาตักกระเพาะปลาขาย ตักใส่ถ้วย หรือลูกค้าสั่งใส่ถุง โรยหน้าด้วยเนื้อไก่ ไข่นดกระทา ใบต้นหอม ผักชีซอย


การตั้งราคาขายกระเพาะปลา
ราคากระเพราะปลานั้น มีหลายแบบ หลายราคา แล้วแต่วัตถุที่เป้นเครื่องผสม
ราคาปกติ ที่ขายกัน จะอยู่ที่ ชามละ 30-60 บาท (แบบธรรมดา) แต่ถ้าใส่
ไข่นกกระทา 2 ลูก ก็ประมาณ 30 บาท/ชาม ถ้าใส่เนื้อปูด้วยก็ประมาณ 60 บาท/ชาม
หรือถ้าใส่หูฉลามด้วย ก็ประมาณ 150 บาท/ชาม


2 มี.ค. 2554

เปิดร้านค้าออนไลน์

เปิดร้านออนไลน์
สมัยนี้ใครๆที่เปิดร้านค้าหรือมีธุรกิจอยุ่แล้ว ส่วนใหญ่หันมาเปิดช่องทางการขายอีก1 ช่องทางนั่นคือ เปิดร้านค้าออนไลน์ ขายของผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพราะทุกวันนี้คนใช้งานอินเตอร์เน็ตในบ้านเรามีหลายล้านคน โอกาสการขยายธุรกิจนั้นยังมีอยู่อีกมาก หากทำเวบไซต์เองไม่เป็นก็มีคนรับจ้างทำอยู่มากมาย ราคาก็มีหลายแบบขึ้นอยู่กับ สินค้าและการแข่งขัน


วันนี้ขอยกตัวอย่างการเปิดร้านค้าออนไลน์ ที่ประสบความสำเร็จมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาให้กับท่านที่ต้องการ เปิดร้านค้าออนไลน์กันบ้าง
ร้าน LadyFatShop ที่เมื่อปีที่แล้ว กวาดรายได้ไปสูงถึง 4 ล้านบาท ตลาดคือเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ สำหรับสาวเจ้าเนื้อทั้งหลายที่หาเสื้อผ้าใส่ยาก

ข้อมูลจำเพาะร้าน LadyFatShop

-กิจการ ขายเสื้อผ้าไซซ์ใหญ่
-ลักษณะกิจการ ร่วมหุ้น 2 คน
-เงินลงทุนเปิดร้านครั้งแรก 50,000 บาท
-จุดเด่น ใช้ผ้าอย่างดี มีเทคนิคตัดเย็บเฉพาะตัว ดีไซน์ทันสมัย กล้านำเสนอในรูปแบบที่ไม่ซ้ำใคร
-กำลังการผลิต 2 สัปดาห์ ตัดเย็บเสื้อผ้าได้ 150 ตัว
-ช่องทางจำหน่าย หน้าร้าน และในเว็บไซต์
-ยอดขาย หลักแสนบาทต่อเดือน
-กำไร 40 เปอร์เซ็นต์
-ราคาขายสินค้า เริ่มต้นชุดละ 600 บาท
-สถานที่ติดต่อ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา สาขาพระราม 2 ชั้น 3 junction x โซนเมเจอร์


คนอ้วนที่น้ำหนักมากๆ มักหาเสื้อผ้าใส่ยาก ถูกจำกัดอยู่แค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ หรือบางครั้งต้องสั่งตัด
ซึ่งตรงนี้ยังพอรับได้ แต่ที่รู้สึกว่าทนไม่ไหวคือ เวลาไปเที่ยวทะเลแล้วอยากใส่ชุดว่ายน้ำ เลยไปตระเวนหาซื้อ ก็มักไม่มีที่ถูกใจ รวมถึงลองวางขายในอินเตอร์เน็ต 50 ตัว ปรากฏสินค้าขายหมดในวลาเพียง 2 สัปดาห์ มีกำลังใจและมีทุน เลยเปิดร้านขายเสื้อผ้าสำหรับคนอ้วนเล็กๆ ควบคู่กับทำงานประจำ ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง
ด้วยความเข้าอกเข้าใจคนรูปร่างเดียวกัน ชุดว่ายน้ำเป็นที่ถูกใจบรรดาสาวเจ้าเนื้อ ฉะนั้น จาก 50 ตัว เขยิบขึ้นมาเป็น 150 ตัว รวมถึงเริ่มมีชุดลำลองเข้ามาบริการ แต่ทว่าลูกค้าสู้ราคาไม่ไหว แก้ปัญหาด้วยวิธีย้ายทำเล ชุดว่ายน้ำล็อตแรกใช้เงินลงทุน 25,000 บาท ทำกำไรเท่าตัว สามารถมาเป็นทุนเปิดหน้าร้านได้ ฉะนั้น จาก 50 ตัว เพิ่มเป็น 150 ตัว และเพื่อให้สินค้าหลากหลายไปรับเสื้อผ้าไซซ์ใหญ่จากย่านประตูน้ำทว่าลูกค้าไม่ถูกใจ กลับชอบแบบที่ตัวเองสวมใส่เลยตัดออกมาขาย แต่เนื่องจากไม่ใช่งานโหลทำให้จากราคาตัวละ 300 บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ยตัวละ 700-800 บาท ฉะนั้น ยอดขายลดลงจากเดือนละ 100,000 บาท เหลือ 70,000 บาท เลยตัดสินใจย้ายเข้าห้างสรรพสินค้าหวังกลุ่มลูกค้าค่อนข้างมีกำลังซื้อ

ทำอย่างไร ถึงได้ยอดขายดีเรื่อยมา ได้คำตอบมาว่า ส่วนหนึ่งได้จากสื่ออินเตอร์เน็ต รวมถึงรูปแบบเสื้อผ้าที่สามารถแก้ปัญหาให้คนอ้วนได้ และดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร ตัวอย่างเช่น บางคนแขนใหญ่ ร้านทั่วไปมักให้ใส่เสื้อคลุม แต่ทางร้านใช้วิธีเพิ่มลูกเล่นบริเวณแขนด้วยผ้าระบาย หรือเสื้อผ้าลายขวาง ลายจุดเล็กๆ ที่บางทฤษฎีบอกว่าใส่แล้วอ้วน ทางร้านประยุกต์ตัดออกมาลงตัว สามารถอำพรางหุ่นได้ ทุกรูปแบบแฟชั่นสุดๆ ที่สำคัญ ทางร้านจะมีเทคนิคการนำเสนอที่ไม่เหมือนใครคือ จะใช้นางแบบสวมใส่ชุดให้ดู แทนการใส่ไม้แขวน เพราะเสื้อผ้าที่มีขนาดใหญ่แขวนแล้วจะดูไม่สวย ไม่น่าสวมใส่

ระยะเวลาไม่ถึงปี LadyFatShop ได้พัฒนาชุดจากไม่กี่รูปแบบ เพิ่มขึ้น อาทิ ชุดแมกซี่ (Maxi Dress) หรือชุดเดรสแบบยาวถึงข้อเท้า ชุดทำงาน ชุดไปเที่ยว ชุดราตรี ชุดออกงาน รวมถึงชุดชั้นใน ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เจ้าของจะร่วมดีไซน์ และตัดเย็บกับแผนกช่าง เพื่อให้เป็นผู้นำแฟชั่นเสื้อผ้าคนอ้วน เจ้าของร้าน บอกว่า จะดูแนวการแต่งตัว และสังเกตรูปแบบเสื้อผ้าที่ดารา นักร้องทั้งในและต่างประเทศสวมใส่จากทีวี นิตยสาร และเวทีการประกวดระดับโลกอย่างออสการ์ ชนิดว่าถ้าสวยถูกใจ จะนำมาประยุกต์ และสรรหาเนื้อผ้าตัดเย็บให้เข้ากับคนร่างใหญ่

นอกจากเสื้อผ้าร้านนี้จะสามารถแก้ไขจุดบกพร่องทางสรีระ เจ้าของร้านยังเลือกใช้ผ้าอย่างดี นำมาสกรีนลายเอง รวมถึงมีเทคนิคการตัดเย็บพิเศษ นั่นคือ เสื้อผ้าภายนอกดูมีขนาดเล็ก แต่สามารถขยายได้ 4-5 เท่า มีด้วยกัน 3 ไซซ์ ใส่ได้ตั้งแต่น้ำหนัก 65-150 กิโลกรัม ผ้าที่ทางร้านใช้หลักๆ มี 3 ชนิด คือ ผ้าเรยองเกรดเอ ผ้าไอทีวาย ผ้าเกาหลีพิมลาย ทุกชนิดราคาแพง เมตรละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท สาเหตุที่ใช้ผ้าเหล่านี้ เนื่องจากมีเส้นใยถี่ น้ำหนักเยอะ ความถ่วงสูง ใส่แล้วไม่พอง ไม่อ้วน ส่วนเทคนิคการตัดเย็บที่แม้จะใช้จำนวนผ้าเท่าเดิม แต่ภายนอกดูมีขนาดเล็กซึ่งคนผอมก็สามารถใส่ได้ ผ่านการคิดค้นลองผิดลองถูกร่วมกับช่างมานาน ยากที่จะเปิดเผยได้

การมีร้านค้าออนไลน์ไว้ใช้ติดต่อสื่อสาร และช่วยให้ขายง่ายเนื่องจากมีรูปภาพที่ชัดเจน และรหัสสั่งซื้อ เหมาะสำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกเดินทาง อาทิ ต่างจังหวัดและต่างประเทศ เฉพาะจำนวนลูกค้าที่คลิกผ่านหน้าเว็บ ปัจจุบันทั้งสิ้น 300,000 คลิก สร้างยอดขายแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 50,000 บาทกันเลยทีเดียว


นี่คือ อีกหนึ่งตัวอย่างจากหลายๆธุรกิจเปิดร้านออนไลน์ที่ประสบความสำเร้จ ใครที่อยากลองเปิดธุรกิจผ่านโลกไซเบอร์ ก็น่าลองดุนะครับ ทำควบคู่กับงานประจำไปก่อนก็ได้ พอธุรกิจเติบโตค่อยขยับขยายออกมาลุยเต็มตัว โอกาสยังเปิดกว้าง ขอให้มีไอเดียและความมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้น

อ้างอิงที่มาจาก หนังสือ เส้นทางเศรษฐี ฉบับ 1 ส.ค.2553
ขอบคุณภาพจาก gotoknow.org